×
แชทกับหน่วยงาน
เทศบาลตำบลชลบถวิบูลย์
ยินดีให้บริการค่ะ....
check_circle อำนาจหน้าที่
องค์ความรู้ในหน้าที่ความรับผิดชอบ
ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 แก้ไขเพิ่มเติมถึง(ฉบับที่ 13) พ.ศ.2552 มาตรา 48 เอกูนวีสติ บัญญัติว่า “ให้มีปลัดเทศบาล คนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานเทศบาลและลูกจ้างเทศบาลรองจากนายกเทศมนตรี และรับผิดชอบควบคุมดูแลราชการประจำของเทศบาลให้เป็นไปตามนโยบาย และอำนาจหน้าที่อื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดหรือตามที่นายกเทศมนตรีมอบหมาย” การปฏิบัติหน้าที่ ในกำหนด “ปลัดเทศบาล” หรือ “นักบริหารงานเทศบาล” จึงเป็นตำแหน่งที่จะต้องมีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการ และประสานงานเป็นอย่างยิ่งใน 3 ส่วนหลัก คือ (1) ภาคประชาชน ในฐานะ ประชาชนคือเป้าหมายหลักในการรับใช้บริการ (2) ภาคองค์กร ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดฝ่ายประจำ ต้องยึดระเบียบกฎหมายเป็นที่ตั้ง (3) ภาคผู้บริหาร ในฐานะเป็นผู้นำนโยบายของผู้บริหารไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ดังนั้น “ปลัดเทศบาล” จึงจำเป็นต้องใช้ “ศาสตร์และศิลป์” ควบคู่กัน อันจะนำมาซึ่งผลสำเร็จที่แท้จริงก็คือประโยชน์สุขที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชนโดยตรงนั้นเอง ขอบข่ายตำแหน่ง “ปลัดเทศบาล(นักบริหารงานเทศบาล” มีระเบียบกฎหมายที่กำหนดอำนาจหน้าที่ของ “ปลัดเทศบาล” ไว้ดังนี้ (1) ตามประกาศคณะกรรมการกลางพนักงานเทศบาล เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการ วิธีการสรรหา และการปฏิบัติงานของพนักงานเทศบาล และกิจการอันเกี่ยวกับการบริหารงานงานบุคคลในเทศบาล “ข้อ 11 ในการปฏิบัติงานของพนักงานเทศบาลเกี่ยวกับการวินิจฉัยปัญหาและสั่งการให้ใช้หลักการแบ่งอำนาจและหน้าที่ตามลักษณะของเรื่องังต่อไปนี้ ปลัดเทศบาล (1) เรื่องที่นายกเทศมนตรีสั่งการเกี่ยวกับนโยบายของเทศบาล (2) เรื่องที่กฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับระบุให้เป็นอำนาจหน้าที่ของปลัดเทศบาล (3) เรื่องซึ่งตกลงกันไม่ได้ระหว่างหน่วยงานต่างๆ ภายใต้บังคับบัญชา (4) เรื่องในหน้าที่สำนักงานเทศบาล (2) ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัด เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของเทศบาล “ข้อ 264 ในการปฏิบัติงานของพนักงานเทศบาลเกี่ยวกับการวินิจฉัยปัญหาและสั่งการให้ใช้หลักการแบ่งอำนาจและหน้าที่ตามลักษณะของเรื่องดังต่อไปนี้ ปลัดเทศบาล (1) เรื่องที่นายกเทศมนตรีสั่งการเกี่ยวกับนโยบายของเทศบาล (2) เรื่องที่กฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับระบุให้เป็นอำนาจหน้าที่ของปลัดเทศบาล (3) เรื่องซึ่งตกลงกันไม่ได้ระหว่างหน่วยงานต่างๆ ภายใต้บังคับบัญชา (4) เรื่องในหน้าที่สำนักงานเทศบาล (5) เรื่องที่หัวหน้าส่วนราชการเห็นเป็นปัญหาและเสนอมาเพื่อรับคำวินิจฉัยหรือในกรณีพิเศษอื่นใด (6) เรื่องที่ปลัดเทศบาลสั่งการโดยเฉพาะ (7) เรื่องที่หัวหน้าส่วนราชการต่างๆ เห็นสมควรเสนอเพื่อทราบ (3) สรุปอำนาจหน้าที่รวมๆ ปลัดเทศบาลในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของฝ่ายประจำในเทศบาล มีอำนาจหน้าที่โดยรวมๆ คือ (3.1) ความรับผิดชอบ 3 ประการ 1) ควบคุมงานของหน่วยงานต่างๆ ในเทศบาล 2) ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชา โดยเป็นหัวหน้าฝ่ายประจำ 3) ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย จากคณะผู้บริหาร(ฝ่ายบริหาร) หรือตามกฎหมาย โดยเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง ฝ่ายบริหาร และฝ่ายประจำ ยึดหลักการที่ว่า ฝ่ายบริหาร เป็น “ผู้จะทำอะไร” และฝ่ายประจำ เป็น “ผู้จะทำอย่างไร” (3.2) ลักษณะงานที่ปฏิบัติ 5 ประการ 1) ทำความเห็นเสนอผู้บริหาร สรุปรายงานเสนอแนะ (อิงระเบียบกฎหมาย) 2) ปฏิบัติตามกฎหมายในฐานะผู้อนุญาต อนุมัติ เป็นชอบ 3) เป็นนายทะเบียนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติมถึงปัจจุบัน 4) เป็นเจ้าหน้าที่งบประมาณ และพนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินภาษี 5) เป็นเลขานุการสภาเทศบาล (3.3) ความรู้ความสามารถ 7 ประการ 1) มีความรู้ในด้านวิชาการปกครอง เช่น หลักรัฐศาสตร์ การประนีประนอม ฯลฯ 2) มีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายเทศบาล พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายระเบียบว่าด้วยการบริหารงานบุคคล ฯลฯ 3) มีความเข้าใจนโยบายและแผนงาน 4) มีความสามารถในการจัดทำแผน ควบคุมกำกับดูแล ตรวจสอบ ปรึกษาที่ดี 5) มีความสามารถในการปกครองบังคับบัญชา และติดต่อประสานงาน 6) รู้หลักการบริหารงานบุคคล 7) มีความรู้เรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การถ่วงดุลของข้าราชการ “ฝ่ายประจำ” กับ “ฝ่ายบริหาร” ซึ่งเป็นฝ่ายการเมือง ปัญหาทางปฏิบัติระหว่าง “ฝ่ายประจำ” หมายถึง ข้าราชการท้องถิ่น กับ “ฝ่ายบริหาร” หมายถึง ผู้บริหารท้องถิ่น เป็นฝ่ายการเมืองท้องถิ่น ประกอบด้วย นายกเทศมนตรี และรองนายกเทศมนตรี นอกจากนี้ยังมี เลขานุการนายกเทศมนตรี และที่ปรึกษานายกเทศมนตรี ตามจำนวนชั้นของเทศบาล (เทศบาลนคร, เทศบาลเมือง และเทศบาลตำบล) มาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.เทศบาลฯ ระบุว่า “เทศบาลเป็นทบวงการเมือง มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้และกฎหมายอื่น” เนื่องจาก “ฝ่ายประจำ” นำโดย “ปลัดเทศบาล” จะเป็นผู้นำนโยบายของ “ฝ่ายบริหาร” (หรือฝ่ายการเมือง)ไปปฏิบัติ จึงเหมือนปาท่องโก๋ที่ต้องทำงานผูกติดกันตลอด โดยการปฏิบัติต้องถือปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ และ “ยึดระเบียบ” เป็นที่ตั้ง เนื่องจาก “ฝ่ายประจำ” ถูกจำกัดกรอบการปฏิบัติไว้ด้วย “วินัยข้าราชการ” สำหรับ “ฝ่ายการเมือง” ไม่ได้มีวินัยแต่อย่างใด ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 โดยผู้ตรวจการแผ่นดินจะกำหนดกรอบให้ “ฝ่ายการเมือง” และ “ฝ่ายประจำ” จะต้องทำประมวลจริยธรรมไว้ (มาตรา 279 มาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท ให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรมที่กำหนดขึ้น...”)